ดีมานด์ถุงมือยางทั่วโลกพุ่ง “หมอบุญ” ทุ่มกว่า 1,000 ล้านบาท ปักหมุด “ไทยเมดิคอล โกล์ฟ” ป้อนอเมริกา-ยุโรป
การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่ทั่วโลกมีการติดเชื้อไปแล้วกว่า 25 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง การเฝ้าระวังและป้องกันทำให้หน้ากากอนามัย ถุงมือยาง ตลอดจนอุปกรณ์ด้านความสะอาด สุขอนามัย ฯลฯ กลายเป็นสิ่งจำเป็นและเป็นที่ต้องการทั่วโลก
นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ผู้บริหารโรงพยาบาลและธุรกิจดูแลสุขภาพ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การระบาดของโควิด -19 ส่งผลให้ความต้องการถุงมือยางทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงได้จัดตั้งบริษัท บริษัท ไทยเมดิคอล โกล์ฟ จำกัด (Thai Medical Glove) ขึ้นเพื่อผลิตและส่งออกถุงมือยางรองรับความต้องการของตลาดโลก พร้อมทั้งมอบหมายให้บริษัท หลักทรัพย์คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของไทยเมดิคอล โกล์ฟ จะไม่มีการเข้าร่วมกับเครือ THG แต่อย่าง เนื่องจากมีศักยภาพทางการเติบโตและมีแผนลงทุนของตัวเองอย่างชัดเจน
“หลังจากทั่วโลกต้องเผชิญกับสถาการณ์การระบาดของโควิด-19 ความต้องการถุงมือยางทั่วโลกก็พุ่งสูงขึ้นถึง 4,000 ล้านกล่อง ขณะที่กำลังการผลิตทั่วโลกมีเพียง 1,800 ล้านกล่อง ยังเหลือช่องว่างอยู่อีก2,200 ล้านกล่อง ทำให้มองเห็นโอกาสในการเติบโต จึงจัดตั้งบริษัทไทยเมดิคอล โกล์ฟขึ้น พร้อมทั้งโฟกัสการส่งออกไปทั่วโลกอย่างเป็นทางการ”
สำหรับแผนงานของไทยเมดิคอล โกล์ฟ ในปีหน้าจะใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาทในการขยายกำลังการผลิตของโรงงานผลิตถุงมือยางทั้ง 7 แห่ง อาทิ ระยอง, สิงห์บุรี ฯลฯ โดยเตรียมนำเข้าเครื่องจักรในการผลิตกว่า 50 ชิ้นจากประเทศเยอรมนี ซึ่งมีกำลังการผลิตได้สูงสุดกว่า 9 แสนชิ้นต่อวัน โดยจะสามารถขยายกำลังการผลิตและส่งออกได้ 700 ล้านกล่องต่อปีในปี 2564 จากปัจจุบันส่งออก 50-60 ล้านกล่องต่อปี ซึ่งตลาดหลักของบริษัทจะเน้นส่งออกในตลาดที่มีความต้องการสูงทั่วโลกไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา, ยุโรป, อินเดีย เป็นต้น ปัจจุบัน มาเลเซียเป็นผู้นำในการส่งออกถุงมือยางไปทั่วโลก โดยมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 56% ของตลาดถุงมือยางโลกซึ่งมีปริมาณรวมกว่า 4,000 ล้านกล่อง ขณะที่ในประเทศไทย มีส่วนแบ่งตลาดราว 14% มีบริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ ครองส่วนแบ่งตลาด 9% ซึ่งการรุกตลาดครั้งนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะมีส่วนแบ่งตลาด 12% ภายใน 2 ปีนับจากนี้ และทำให้ประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาด 28% ในตลาดถุงมือยางโลก
นพ.บุญ กล่าวอีกว่า ในปลายปีนี้ THG ยังคงเดินหน้าลงทุนด้านนวัตกรรมและเทคโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับธุรกิจโรงพยาบาลและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4 นี้ โดยได้เตรียมงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าปั้น Smart Hospital ของกลุ่มโรงพยาบาลในเครืออย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการเดินหน้าลงทุน เวียดนาม ลาว จีน ในธุรกิจโรงพยาบาลที่มีอยู่แล้วให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น
ด้านแผนงานในเรื่องของ “เทเลเมดิซีน” ของทางโรงพยาบาลก็จะมีการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นเทรนด์ของผู้บริโภคยุคใหม่ ที่แม้จะมีความเชื่อถือเรื่องมาตรการรักษาความปลอดภัย ความสะอาดของโรงพยาบาลมากแค่ไหนก็จะมาโรงพยาบาลน้อยลงและหันมารับการรักษาผ่านเทคโนโนลีมากขึ้น เนื่องจากต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ขณะเดียวกันการเข้ามาของ AI และ VR ก็มีส่วนต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ป่วยเช่นกัน เช่นเดียวกับธุรกิจโรงพยาบาลก็ต้องมีการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วยเช่นกัน